วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

week9 เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ3

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ สัปดาห์นี้ก็เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเราแล้วนะคะ  วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปรู้จักกับเกมส์ๆหนึ่ง ซึ่งถ้าใครที่เคยดูพี่เอก (HEART ROCKER) อาจจะพอรู้จัก นั่นแน่!! สงสัยกันแล้วละสิ งั้นเราไปดูกันเลยยย


เกมส์นี้มีชื่อว่า Rocket League เป็นเกมส์แนวใหม่ที่รวมเอาเกมส์ฟุตบอลกับเกมส์ขับรถเข้าด้วยกัน แล้วออกมาเป็นเกมส์แนวขับรถเล่นฟุตบอล ตัวเกมส์คือการแข่งขันฟุตบอลโดยเปลี่ยนนักกีฬาในสนามจากคนให้กลายเป็นรถซิ่งแทน ซึ่งรถแต่ละคันก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งรถได้อีกด้วย
โดยตัวเกมส์มีทั้งระบบฤดูกาลสำหรับเล่นคนเดียว และระบบรองรับสำหรับเล่นหลายคน มีโหมดออนไลน์ และ ออฟไลน์       ตัวรถนั้นมีให้แต่งได้อย่างมากมาย เรามาดูกันว่า  Features ในเกมส์มีอะไรเจ๋งๆกันบ้าง
-ระบบฤดูกาลที่ตอบสนองการเล่นแบบ Single Player อย่างเต็มรูปแบบ

-การปรับแต่งรถของเราถึง หลานร้อยชุดแต่งเพียบไม่มีเบื่อ






 -ยังมีไอเทมและรถแบบพิเศษให้เล่นปลดล็อคอีกด้วย
-เล่นสนุกพร้อมเพื่อนได้ถึง 8 คน

-ระบบแบ่งหน้าจอเล่นได้หากเล่นกัน 2 คนแต่มีเครื่องเดียว
-สามารถย้อนกลับมาดู Replays ของเกมได้ทุกมุมมอง จุใจแน่นอน

-และสุดท้ายสามารถร่วมเล่นกับคนที่เล่นผ่าน PlayStation 4 ได้อีกด้วย

เราจะมาให้คะแนนเกมส์นี้กันค่ะ ในความเห็นของเจ้าของBlog เจ้าของคิดว่า เกมส์นี้มีความแปลกใหม่ กราฟิกต่างๆ สีฉาก แนวการเล่น ซึ่งเราจะแบ่งเป็นคะแนนต่างๆดังนี้
-คะแนนกราฟิก 8/10 กราฟิก ที่สวยงามขนาดนี้ และยังเบาเครื่องไม่กินทรััพยากรมาก จัดว่าดีมากๆจ้า
-คะแนนแนวการเล่น 8/10 เล่นกับเพื่อนนี่ ฮามากแน่นอน ลุ้นกันสุดๆ บางทีจะตีกันเลยก็มีสนุกมากจ้า

เหมาะสมกับราคามากๆเลยจ้าสำหรับเกมนี้ เกมนี้อยู่ใน steam เล่นออนไลน์กันได้สบายๆ เพื่อนลองหาดูกันได้นะจ๊ะ


ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.metalbridges.com



วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 8 Review/แนะนำการใช้งานโปรแกรม 1 โปรแกรม


โปรแกรม Your Uninstaller เป็นโปรแกรมที่ช่วยลบโปรแกรมแบบเจาะลึกมากๆ โดยมันจะลบไปถึง Registry เลยทีเดียว เสมือนว่าเราไม่เคยลงโปรแกรมนั้นมาก่อนนอกจากนี้เรายังสามารถใช้โปรแกรมนี้ในการลบโปรแกรมบางตัวที่ไม่สามารถลบใน Control Panel หรือการ Delete แบบธรรมดาออกไปได้

วิธีการใช้งานก็ง่ายมากๆ เพียงแค่เลือกโปรแกรมที่ต้องการลบและกด Uninstall ได้เลย โดยจะมีให้เลือกลบตั้งแต่แบบธรรมดาไปจนถึงการลบแบบถอนรากถอนโคนนั้นเอง และโปรแกรมนี้ก็ยังมีแยกอีกในหลายโหมดไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดในส่วนที่เป็นขยะที่เกิดจากการเล่นอินเทอร์เน็ตต่างๆ อย่างเช่น Cookies, Search History, Address History และอื่นๆ การทำความสะอาดขยะในฮาร์ดดิสก์ หรือการเลือกลบเเฟ้มข้อมูลต่างๆ ได้อย่างหมดจด

ตามปรกติแล้วเวลาที่ท่านทำการลบ (Uninstall) โปรแกรมใดๆ ในวินโดวส์นั้น จะยังคงมีไฟล์บางอย่างที่ไม่ได้ใช้งานและไม่ได้ถูกลบออกไป (อย่างเช่น Registry Key ) ซึ่งจะกินทรัพยากรเครื่องและทำให้คอมพิวเตอร์ของท่าน โหลดช้าลง และเสียพื้นที่ใน Hard Disk โดยใช่เหตุได้

แต่เจ้าโปรแกรม Your Uninstaller! นี้ จะทำการ ลบ โปรแกรมนั้นๆ ให้หายวับไปจากคอมพิวเตอร์ของท่าน รวมทั้งกำจัดคราบ เอ้ย ไฟล์ต่างๆที่ไม่จำเป็นออกไปอ



ย่างหมดจดเลย ช่วยให้ประหยัดพื้นที่ Hard Disk และคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้นอีกนิด

สำหรับในส่วนของ การใช้งาน ก็ไม่ยากเลยครับ เพียงแค่ท่าน เปิดโปรแกรม Your Uninstaller!  ขึ้นมา จากนั้นเลือกโปรแกรม ที่เราต้องการจะลบ คลิกปุ่ม Uninstall และคลิก next ไปตามขั้นตอน เมื่อเสร็จแล้วก็รีสตาร์ทเครื่อง 1 ครั้ง เพียงเท่านี้ โปรแกรมที่ ท่านไม่ต้องการก็ จะไม่มาปรากฏให้กวนใจอีกเลย

Program Features (คุณสมบัติและความสามารถของโปรแกรม Your Uninstaller)
  • หน้าตาโปรแกรมสวยงามและใช้งานง่าย เมนูไม่ซับซ้อน ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานก็ใช้ได้ทันที
  • สามารถลบโปรแกรมออกได้อย่างหมดจด เพราะลบไปถึงไฟล์รีจิสทรี (Registry) ของโปรแกรมนั้นจนหมด
  • เมื่อติดตั้งโปรแกรมใหม่ลงในเครื่องจะมีการแจ้งเตือนเมื่อเข้าโปรแกรม Your Uninstaller นี้
  • ก่อนทำการลบโปรแกรมแต่ละครั้งมี โปรแกรมจะสร้างจุดคืนค่าให้กับวินโดวส์เพื่อป้องกันกรณีเกิดความเสียหายขึ้น
  • ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ให้ใช้งานไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความเร็วให้กับเครื่อง ลบไฟล์ขยะต่างๆ เป็นต้น

แต่ทั้งนี้ผู้ที่ใช้โปรแกรม Your Uninstall ต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบเพราะถ้าลบผิดขึ้นมาอาจส่งผลให้โปรแกรมอื่นๆ ไม่สามารถใช้งานได้หรือเลวร้ายที่สุดถึงขั้นต้องลงวินโดว์ใหม่กันเลยทีเดียว

วิธีใช้งานโปรแกรมเบื้องต้น



สำหรับผู้ที่ลงโปรแกรมเสร็จ นี่ก็คือหน้าต่างของเจ้าโปรแกรม Your Uninstaller 
เลือกโปรแกรมที่อยากจะลบได้เลย

จากนั้นกดปุ่ม Uninstall หรือ Quick Uninstall ได้เลย
กด Next แล้วก็จะขึ้นหน้าต่างนี้ จากนั้นรอสักครู่ แล้วก็เสร็จแล้วจ้า

สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจ เรามีวิดิโอการใช้งานเบื้องต้นมาให้ดูจ้า ไปดูกันเลย



ขอบคุณวิดิโอจาก http://software.thaiware.com
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://your_uninstaller.th.com 
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.jokergameth.com










วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 7 คอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน  เพื่อนๆรู้จักคอมพิวเตอร์หรือเปล่าค่ะ ถ้าไม่รู้จักงั้นเราไปดูกันดกว่าว่า คอมพิวเตอร์คืออะไร


คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"
คอมพิวเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic device) ที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการกับข้อมูลที่อาจเป็นได้ ทั้งตัวเลข ตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายในสิ่งต่าง ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญของคอมพิวเตอร์คือการที่สามารถกำหนดชุดคำสั่งล่วงหน้าหรือโปรแกรมได้ (programmable) นั่นคือคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับชุดคำสั่งที่เลือกมาใช้งาน ทำให้สามารถนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการตรวจคลื่นความถี่ของหัวใจ การฝาก - ถอนเงินในธนาคาร การตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ เป็นต้น ข้อดีของคอมพิวเตอร์ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธภาพ มีความถูกต้อง และมีความรวดเร็ว
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีวงจรการทำงานพื้นฐาน 4 อย่าง (IPOS cycle) คือ
1.รับข้อมูล (Input) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการรับข้อมูลจากหน่วยรับข้อมูล (input unit) เช่น คีบอร์ด หรือ เมาส์
2.ประมวลผล (Processing) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลกับข้อมูล เพื่อแปลงให้อยู่ในรูปอื่นตามที่ต้องการ
3.แสดงผล (Output) เครื่องคอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์จากการประมวลผลออกมายังหน่วยแสดงผลลัพธ์ (output unit) เช่น เครื่องพิมพ์ หรือจอภาพ
4.เก็บข้อมูล (Storage) เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลไว้ในหน่วยเก็บข้อมูล เพื่อให้สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ในอนาคต
เพื่อนรู้จักคอมพิวเตอร์แล้ว เพื่อนๆรู้จักเครือข่ายคอมพิวเตอร์กันไหมคะ
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครือข่ายนั้น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อุปกรณ์ในเครือข่าย (Network Operation System)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (TOPOLOGY)
การนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเพื่อประโยชน์ของการสื่อสารนั้น สามารถกระทำได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป โดยทึ่วไปแล้วโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจำแนกตามลักษณะของการเชื่อมต่อดังต่อไปนี้

1.      โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส (bus topology)  ประกอบด้วย สายส่งข้อมูลหลัก ที่ใช้ส่งข้อมูลภายในเครือข่าย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง จะเชื่อมต่อเข้ากับสายข้อมูลผ่านจุดเชื่อมต่อ เมื่อมีการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องพร้อมกัน จะมีสัญญาณข้อมูลส่งไปบนสายเคเบิ้ล และมีการแบ่งเวลาการใช้สายเคเบิ้ลแต่ละเครื่อง ข้อดีของการเชื่อมต่อแบบบัส คือ ใช้สื่อนำข้อมูลน้อย ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของระบบโดยรวม แต่มีข้อเสียคือ การตรวจจุดที่มีปัญหา กระทำได้ค่อนข้างยาก และถ้ามีจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมากเกินไป จะมีการส่งข้อมูลชนกันมากจนเป็นปัญหา


2.      โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน (ring topology)  มีการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยที่แต่ละการเชื่อมต่อจะมีลักษณะเป็นวงกลม การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายนี้ก็จะเป็นวงกลมด้วยเช่นกัน ทิศทางการส่งข้อมูลจะเป็นทิศทางเดียวกันเสมอ จากเครื่องหนึ่งจนถึงปลายทาง ในกรณีที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งขัดข้อง การส่งข้อมูลภายในเครือข่ายชนิดนี้จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ข้อดีของโครงสร้าง เครือข่ายแบบวงแหวนคือ ใช้สายเคเบิ้ลน้อย และถ้าตัดเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เสียออกจากระบบ ก็จะไม่


3.      โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว (star topology)  ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะต้องมีจุกศูนย์กลางในการควบคุมการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ หรือ ฮับ (hub) การสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ จะสื่อสารผ่านฮับก่อนที่จะส่งข้อมูลไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบบดาวมีข้อดี คือ ถ้าต้องการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ก็สามารถทำได้ง่ายและไม่กระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในระบบ ส่วนข้อเสีย คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สายเคเบิ้ลจะค่อนข้างสูง และเมื่อฮับไม่ทำงาน การสื่อสารของคอมพิวเตอร์ทั้งระบบก็จะหยุดตามไปด้วยส่งผลต่อการทำงานของระบบเครือข่ายนี้ และจะไม่มีการชนกันของข้อมูลที่แต่ละเครื่องส่ง


4.      โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบแมช (mesh topology) เป็นรูปแบบของการเชื่อมต่อที่มีความนิยมมากและมีประสิทธิภาพสูงเนื่องจากถ้ามีเส้นทางของการเชื่อมต่อคู่ใดคู่หนึ่งขาดจากกัน การติดต่อสื่อสารระหว่างคู่นั้นยังสามารถติดต่อได้โดยอุปกรณ์จัดเส้นทาง (router) จะทำการเชื่อมต่อเส้นทางใหม่ไปยังจุดหมายปลายทางอัตโนมัติ การเชื่อมต่อแบบนี้มักนิยมสร้างบนเครือข่ายแบบไร้สาย



อุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเครือข่าย
1.โมเด็ม (Modem)


    โมเด็มเป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เมื่อข้อมูลถูกส่งมายังผู้รับละแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นแอนะล็อก เมื่อต้องการส่งข้อมูลไปบนช่องสื่อสาร  กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เรียกว่า มอดูเลชัน (Modulation) โมเด็มทำหน้าที่ มอดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เรียกว่า ดีมอดูเลชัน (Demodulation) โมเด็มหน้าที่ ดีมอดูเลเตอร์ (Demodulator)โมเด็มที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ประเภทโมเด็กในปัจจุบันทำงานเป็นทั้งโมเด็มและ เครื่องโทรสาร เราเรียกว่า Faxmodem

2. การ์ดเครือข่าย (Network  Adapter) หรือ การ์ด LAN
     เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่า
และควรเป็น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมักจะไม่มี Slot  ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbps
 ซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่งขอมูลได้เร็วกว่า นอกจากนี้คุณควรคำหนึงถึงขั้วต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์ ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC , RJ-45 เป็นต้น ซึ่งคอนเน็กเตอร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่แตกต่างกัน

  
3. เกตเวย์ (Gateway)
     เกตเวย์ เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์หน้าที่หลักคือช่วยให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์  2 เครือข่ายหรือมากกว่า ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้เหมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน



4. เราเตอร์ (Router)
     เราเตอร์เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายที่มีขนาดหรือมาตรฐานในการส่งข้อมูลต่างกัน สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหว่างกันได้ เราเตอร์จะทำงานอยู่ชั้น Network หน้าที่ของเราเตอร์ก็คือ ปรับโปรโตคอล (Protocol) (โปรโตคอลเป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูล บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์) ที่ต่างกันให้สามารถสื่อสารกันได้


5. บริดจ์ (Bridge)
     บริดจ์มีลักษณะคล้ายเครื่องขยายสัญญาณ บริดจ์จะทำงานอยู่ในชั้น Data Link บริดจ์ทำงานคล้ายเครื่องตรวจตำแหน่งของข้อมูล โดยบริดจ์จะรับข้อมูล จากต้นทางและส่งให้กับปลายทาง โดยที่บริดจ์จะไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใดๆแก่ข้อมูล บริดจ์ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายมีประสิทธิภาพลดการชนกัน ของข้อมูลลง บริดจ์จึงเป็นสะพานสำหรับข้อมูลสองเครือข่าย

6. รีพีตเตอร์ (Repeater)
      รีพีตเตอร์ เป็นเครื่องทบทวนสัญญาณข้อมูลในการส่งสัญญาณข้อมูลในระยะทางไกลๆสำหรับสัญญาณแอนะล็อกจะต้องมีการขยายสัญญาณข้อมูลที่เริ่มเบาบางลงเนื่องจากระยะทาง และสำหรับสัญญาณดิจิตัลก็จะต้องมีการทบทวนสัญญาณเพื่อป้องกันการขาดหายของสัญญาณเนื่องจากการส่งระยะทางไกลๆ เช่นกัน รีพีตเตอร์จะทำงานอยู่ในชั้น Physical
7.  สายสัญญาณ

     เป็นสายสำหรับเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆในระบบเข้าด้วยกัน หากเป็นระบบที่มีจำนวนเครื่องมากกว่า 2 เครื่องก็จะต้องต่อผ่านฮับอีกทีหนึ่ง โดยสายสัญญาณสำหรับเชื่อมต่อเครื่องในระบบเครือข่าย จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
        

-     สาย Coax  มีลักษณะเป็นสายกลม  คล้ายสายโทรทัศน์  ส่วนมากจะเป็นสีดำสายชนิดนี้จะใช้กับการ์ด LAN ที่ใช้คอนเน็กเตอร์แบบ BNC สามารถส่งสัญญาณได้ไกลประมาณ 200 เมตร  สายประเภทนี้จะต้องใช้ตัว T Connector สำหรับเชื่อมต่อสายสัญญาณกับการ์ด LAN ต่างๆในระบบ และต้องใช้ตัว Terminator ขนาด 50 โอห์ม  สำหรับปิดหัวและท้ายของสาย


-     สาย UTP (Unshied  Twisted  Pair)  เป็นสายสำหรับการ์ด  LAN ที่ใช้คอนเน็กเตอร์แบบ RJ-45  สามารถส่งสัญญาณได้ไกลประมาณ 100 เมตร หากคุณใข้สายแบบนี้จะต้องเลือกประเภทของสายอีก โดยทั่วไปนิยมใช้กัน 2 รุ่น  คือ  CAT 3 กับ CAT5 ซึ่งแบบ CAT3 จะมีความเร็วในการส่งสัญญาณ10 Mbps และแบบ CAT 5 จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลที่ 100 Mbps แนะนำว่าควรเลือกแบบ CAT 5 เพื่อการอัพเกรดในภายหลังจะได้ไม่ต้องเดินสายใหม่  ในการใช้งานสายนี้  สาย 1 เส้นจะต้องใช้ตัว RJ - 45 Connector จำนวน 2 ตัว  เพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสายสัญญาณจากการ์ด LAN ไปยังฮับหรือเครื่องอื่น เช่นเดียวกับสายโทรศัพท์ ในกรณีเป็นการเชื่อมต่อเครื่อง 2 เครื่องสามารถใช้ต่อผ่านสายเพียงเส้นเดียได้แต่ถ้ามากกว่า 2 เครื่อง ก็จำเป็นต้องต่อผ่านฮับ

8.  ฮับ (HUB)
     เป็นอุปกรณ์ช่วยกระจ่ายสัญญาณไปยังเครื่องต่างๆที่อยู่ในระบบ หากเป็นระบบเครือข่ายที่มี 2 เครื่องก็ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับสามารถใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อ ถึงกันได้โดยตรง  แต่หากเป็นระบบที่มีมากกว่า 2 เครื่องจำเป็นต้องมีฮับเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลาง ในการเลือกซื้อฮับควรเลือกฮับที่มีความเร็วเท่ากับความเร็ว ของการ์ด เช่น  การ์ดมีความเร็ว  100 Mbps ก็ควรเลือกใช้ฮับที่มีความเร็วเป็น 100 Mbps ด้วย ควรเป็นฮับที่มีจำนวนพอร์ตสำหรับต่อสายที่เพียงพอกับ เครื่องใช้ในระบบ  หากจำนวนพอร์ตต่อสายไม่เพียงพอก็สามารถต่อพ่วงได้  แนะนำว่าควรเลือกซื้อฮับที่สามารถต่อพ่วงได้  เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต





ข้อมูลจาก 

ข้อมูลรูปภาพจาก





วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET คอมพิวเตอร์

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆทุกคน 
หัวข้อ Blog ในวันนี้ของเราจะเป็นเรื่อง การวิเคราะห์แนวข้อสอบ O-NET คอมพิวเตอร์
เพื่อให้เพื่อนๆมีความพร้อมในการเตรียมตัวสอบ O-NET ที่จะถึง เราจึงขอนำแนวข้อสอบมาให้เพื่อนๆลองศึกษา ข้อสอบจะเปนอย่างไรไปดูกันเลย



1.ข้อใดเป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลไร้สายทั้งหมด  ( ปี 54 )

  1) wifi  IP
  2) wifi  Bluetooth
  3) 3G   ADSL
  4)  3G  Ethernet

เฉลย ข้อ 2 

wifi เป็นระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สาย 
Bluetooth เป็นการเชื่อมต่อแบบไร้สายจากโทรศัพท์เข้าคอม
3G เป็นการบริการสัญญาณอินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงเช่นกัน 
ADSL เป็นสัญญาณอินเตอร์เน็ตแบบสายตามบ้านทั่วไป 
Ethernet เป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตวงแคบๆ อาจจะภายในองค์กร

2.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พหพาประเภท Smartphone ( ปี 54 )

  1) Ubuntu          2) Iphone OS          3) Android          4) Symbian

เฉลย ข้อ 1 

อูบุนตู (Ubuntu) เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิด ซึ่งมีพื้นฐานบนลินุกซ์(แต่ในปัจจุบัน Ubuntu เปิดตัว ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานใน SmartPhone แล้ว) 
Iphone OS เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในโทรศัพท์ของ ไอโฟน 
Android เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ใน แทปเลต Tablet และโทรศัพท์ประเภท smartphone 
Symbian คือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ ไร้สาย (Wireless) ช่วยในการส่งข้อมูลของโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลัก

3.การหาสินค้าและบริการผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เรียกว่าอะไร   ( ปี 53 )

  1) E-Payment          2) E-learning          3) E-Sourcing          4) E-news

เฉลย ข้อ 3

Electronic Payment system (ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์) คือ กระบวนการส่งมอบหรือโอนสื่อการชำระเงินเพื่อชำระราคา   โดยผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคม โทรสาร โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
Electronic Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น
Electronic sourcing คือกระบวนการจัดซื้อจัดหาทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต
Electronic news คือหนังสือพิมพ์ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการเสนอข่าวสารในรูปแบบหนังสือพิมพ์ทั่วไปโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต

4.ข้อใดเป็นความหมายของภาษาโปรแกรมระดับสูง   ( 51 )

  1) ภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อวารกัน เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย เป็นต้น
  2) ภาษาที่ประกอบด้วยตัวเลขฐานสองซึ่งคอมพิวเตอร์ใช้ประมวลผลได้ทันที
  3) ภาษาที่สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนคำสั่งมาจากศัพท์ภาษาอังกฤษ
  4) ภาษาที่มีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องหรือที่เรียกว่า ภาษาอิงเครื่อง (machine-oriented language)

เฉลย ข้อ 3

ภาษาระดับสูง (High Level Language) เป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมกล่าวคือลักษณะของคำสั่งจะประกอบด้วยคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ผู้เขียนโปรแกรมจึงเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงได้ง่ายกว่าเขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีหรือภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีมากมายหลายภาษา อาทิเช่น ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก(BASIC) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น

5.ปัจจุบันเครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่โดยมีขนาดบางและความคมชัดสูงเลือกใช้จอแสดงภาพชนิดใด ?  ( ปี 54 )

1) CRT          2) LCD          3) LRD           4)PLASMA

เฉลย ข้อ 3

จอ LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode LED คือหลอดไฟขนาดจิ๋วแต่แจ่วซึ่งใช้ หลอด LED เป็นตัว กำหนดแสงและมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกี่งเหลวคอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจาก หลอด LED ส่องลอดออกมาเป็นสีต่าง ๆ จอ LED ไม่เป็นที่นิยมของตลาดเพราะมีราคาแพงแต่มีขนาดบาง ความคมชัดสูงมียี่ห้อเดียวคือซัมซุง  
จอ LCD ใช้หลอดไฟ CCFL ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟเรียงในแนวนอนยาว ลงมาเป็นตัวกำเนิดแสงและมี Liquid Crystal คอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงแบคไลต์(สีขาว) ลอดผ่านทะลุ Color Filter แม่สี 3 สีเพื่อแสดงออกมาเป็นสีสันต่างๆแต่สีและความคมชัดไม่เท่าจอ LED 
จอ PLasma มีขนาดใหญ่ตั้งแต่ 42 นิ้ว – 150 นิ้วเหมาะในการดูกีฬาและภาพยนต์ แอคชั่นแต่สีเป็นธรรมชาติแต่สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้าเพาะเครื่องจะระบายความร้อนออกมาสิ้นเปลืองการติดเครื่องปรับอากาศ
CRT ข้อดีของจอ CRT คือ รองรับการแสดงผลได้หลากหลายมีอัตราค่า Refresh Rate ที่สูงกว่า สีสันสดใส คมชัดกว่า ข้อเสียคือ ขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่า มีความร้อนสูง

ขอบคุณรูปภาพจาก

ข้อมูลจาก

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 5 เรื่องราวที่นักเรียนสนใจ 2

อิคคิวซัง…(ตะโกนเรียก)” ?เณรน้อยอิคคิวซังตอบกลับ ?“คร๊าบผม จะรีบไปไหนๆ พักเดี๋ยวนึงนะครับ“ประโยคเด็ดนี้ เพื่อนๆ จำกันได้ไหมคะ การ์ตูนยอดฮิตจากประเทศญี่ปุ่นเรื่องอะไร ?
ใช่แล้วหละ "อิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญานั่นเอง"

 ( รูปภาพจาก http://www.weloveshopping.com )

อิคคิวซังเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องราวเกี่ยวกับ อิคคิว เณรในนิกายเซนที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม ตัวละครอิคคิวมาจากพระนิกายเซนชื่อ อิคคิว โซจุน ที่มีชีวิตในช่วง ค.ศ. 1394–1481
 
( รูปภาพจาก http://audio.palungjit.org/ )

ในแต่ละตอนจะเกิดปัญหาต่างๆ ที่มาจากเพื่อนเณรในวัดอังโคะคุจิ (ญี่ปุ่น: 安国寺 Ankokuji ) คือ ชูเน็นซัง จินเน็นซัง เท็ซไซซัง และเทะสึไบซัง หรือที่โชกุนอาชิคางะ โยชิมิสึ กับคิเคียวยะซัง เจ้าของร้านขายของชำในละแวกวัด ร่วมกับลูกสาว ทั้งจากวิธีที่ตั้งใจกลั่นแกล้งเล่นๆ(อำ) คำถามทดลองเชาว์ปัญญา เหตุสุดวิสัย หรืออื่นๆ แต่อิคคิวก็ใช้วิธีการนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา และแก้ไขสถานการณ์ไปได้ทุกครั้ง โดยก่อนจะนั่งสมาธิ อิคคิวซังจะมีคำพูดประจำว่า ใช้’หมอง นั่ง’มาธิ และโชกุนก็ยังสั่งการให้ซามูไรชินเอมอน ซึ่งเป็นผู้ตรวจการ เฝ้าติดตามอิคคิวซังไปทุกที่ ราวกับเป็นองครักษ์ส่วนตัว โดยอิคคิวซัง เพื่อนเณร และซาโยจัง เด็กหญิงที่อาศัยอยู่บริเวณวัด จะเรียกว่า ชินเอมอนซัง

ที่มาที่ไปของเนื้อเรื่อง เณรน้อยเจ้าปัญญา อ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยย้อนกลับไปในช่วงยุคเฮอัง ใน ค.ศ. 794 จักรพรรดิญี่ปุ่น ได้จัดให้มีโชกุน เป็นตำแหน่งของนายทหารใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นอำมาตย์ใหญ่ช่วยในการปกครองประเทศ แต่ต่อมา ในยุคคะมะกุระ จักรพรรดิกลับดูเหมือนเป็นเพียงหุ่นเชิดของโชกุน ใน ค.ศ. 1333 จึงมีการฟื้นฟูระบบจักรพรรดิ ทำให้จักรพรรดิกลับมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ใน ค.ศ. 1336 ก็เข้าสู่ยุคมุโระมะจิ นายทหารเข้าปราบปรามชนชั้นปกครอง แล้วก่อตั้งรัฐบาลโชกุน ขึ้นปกครองประเทศในรูปแบบเผด็จการทหารตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่ง ค.ศ. 1868 เมื่อเข้าสู่ยุคเมจิ ตำแหน่งโชกุนถูกยกเลิก จักรพรรดิมีอำนาจในฐานะประมุขอีกครั้ง

การ์ตูนเรื่องนี้ กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงต้นของยุคมุโระมะจิ หลังจากตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นแล้ว โชกุนโยชิมิทสึ ต้องการความมั่นคงในอำนาจ จึงออกคำสั่งให้โอรสของพระจักรพรรดิองค์ก่อนไปเข้าพิธีบวชตลอดชีวิต (แต่พระอิกคิวตัวจริง บวชเพราะเป็นพระราชโอรสของพระมเหสีนอกสมรสของจักรพรรดิ และถูกพระมเหสีจากราชสำนักกลั่นแกล้ง) เชงกิโกมารุ พระราชโอรสจึงต้องไปบวชเณรขณะที่ยังเล็ก โดยได้รับสมญาว่า อิกคิว แต่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ จึงไม่มีความเคียดแค้นโชกุน (ซึ่งได้ชิงอำนาจจักรพรรดิอันชอบธรรมไปจากอิคคิว) นอกจากนี้โชกุนโยชิมิทสึและอิกคิวยังเป็นมิตรที่ดีต่อกันในเวลาต่อมาอีกด้วย

และแน่นอนจุดเด่นที่ใครที่เคยดูเณรน้อยเจ้าปัญญาต้องจำได้ นั่นก็คือ.... เพลงเปิดการ์ตูนนั่นเองงงง
ลองมาฟังไปด้วยกันดีกว่า


นอกจากนี้เพื่อนๆ หลายคนทราบไหมคะว่า เพลงช้าๆ ตอนจบของการ์ตูน อิคคิวซัง ที่มีภาพตุ๊กตาไล่ฝน และเราก็คงฟังแค่ผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไร นั้น แท้จริงแล้วมันคือคำพูดที่ถูกถ่ายทอดลงจดหมายของอิคคิวซังถึงแม่ และเชื่อว่าคำแปลเพลงจบของการ์ตูนอิคคิวซังครั้งนี้ จะไม่เหมือนทุกครั้งที่เราฟัง เพราะมันจะทำให้เพื่อนๆ น้ำตาไหลและทราบซึ้งสุดๆ

คำแปลเพลง

ท่านแม่ครับ สบายดีหรือเปล่า
เมื่อคืนผมเห็นดาวดวงหนึ่ง ส่องแสงสุกใส
อยู่บนปลายยอดต้นซีต้า
เมื่อจ้องมองดาวดวงนั้น
ผมรู้สึกถึงความอ่อนโยนของท่านแม่
ผมคุยกับดาวดวงนั้นว่า
ผมเป็นลูกผู้ชายจะไม่ท้อแท้
ถ้าเมื่อใดที่ผมเหงาผมจะมาคุยด้วยอีก
แค่นี้นะครับแล้ว จะเขียนมาหาท่านแม่อีก
อิคคิว
ท่านแม่ครับ สบายดีหรือเปล่า
เมื่อวานนี้ที่วัดของเรามีคนมาจากหมู่บ้านข้างๆ
เอาลูกแมวตัวน้อยมาให้
เจ้าแมวน้อยร้องไห้
เพราะว่ายังติดแม่ของมันอยู่
ผมบอกกับมันว่าอย่าร้องไห้ไป
เจ้าจะไม่เหงาหรอก เป็นลูกผู้ชายใช่ไหม
แล้ววันนึงเจ้าจะเจอแม่เอง
แค่นี้นะครับแล้ว จะเขียนมาหาท่านแม่อีก
อิคคิว

ข้อมูลจาก
https://th.wikipedia.org

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4 โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ ( C/C++/C#/JAVA )

ภาษาคอมพิวเตอร์ 
(รูปภาพจากhttp://www4.csc.ku.ac.th/ )
ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ ภาษาระดับสูง (High level) และภาษาระดับต่ำ (low level) ภาษาระดับสูงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้องตามกฎเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล (compile) ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไปเป็นออบเจกต์โค้ด (object code) แล้วเปลี่ยนให้เป็นชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง
ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือ ภาษาที่มนุษย์อ่านออก (human-readable) และภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออก (non human-readable) ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้โดยตรงกับคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ) ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วนที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้ โดยภาษาที่มนุษย์ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกก็มีหลายภาษา ตัวอย่างเช่น

ภาษา C
(รูปภาพจาก www.training.ami-solution.com )
ภาษาซี (C) เป็นภาษาโปรแกรมสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไป เริ่มพัฒนาขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2512-2516 โดยเดนนิส ริชชี่ (Denis Retchie) ภาษาซีมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกสำหรับการเขียนโปรแกรมเชิงโครงสร้างและอนุญาตให้มีขอบข่ายตัวแปร (scope) และการเรียกซ้ำ (recursion) ในขณะที่ระบบชนิดตัวแปรอพลวัตก็ช่วยป้องกันการดำเนินการที่ไม่ตั้งใจหลายอย่าง เหมือนกับภาษาโปรแกรมเชิงคำสั่งส่วนใหญ่ในแบบแผนของภาษาอัลกอล การออกแบบของภาษาซีมีคอนสตรักต์ (construct) ที่โยงกับชุดคำสั่งเครื่องทั่วไปได้อย่างพอเพียง จึงทำให้ยังมีการใช้ในโปรแกรมประยุกต์ซึ่งแต่ก่อนลงรหัสเป็นภาษาแอสเซมบลี คือซอฟต์แวร์ระบบอันโดดเด่นอย่างระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ยูนิกซ์
ภาษาซีเป็นภาษาโปรแกรมหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดตลอดกาล และตัวแปลโปรแกรมของภาษาซีมีให้ใช้งานได้สำหรับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ เป็นส่วนมาก

ภาษา C++
(รูปภาพจาก http://www.lunnla.com )
ภาษาซีพลัสพลัส (อังกฤษC++) เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์อเนกประสงค์ มีโครงสร้างภาษาที่มีการจัดชนิดข้อมูลแบบสแตติก (statically typed) และสนับสนุนรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่หลากหลาย (multi-paradigm language) ได้แก่ การโปรแกรมเชิงกระบวนคำสั่งการนิยามข้อมูลการโปรแกรมเชิงวัตถุ, และการโปรแกรมแบบเจเนริก
ภาษาซีพลัสพลัสได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาษาสำหรับการเขียนโปรแกรมทั่วไป สามารถรองรับการเขียนโปรแกรมในระดับภาษาเครื่องได้ เช่นเดียวกับภาษาซี ในทางทฤษฎี ภาษาซีพลัสพลัสควรจะมีความเร็วเทียบเท่าภาษาซี แต่ในการเขียนโปรแกรมจริงนั้น ภาษาซีพลัสพลัสเป็นภาษาที่มีการเปิดกว้างให้โปรแกรมเมอร์เลือกรูปแบบการเขียนโปรแกรม ซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่โปรแกรมเมอร์อาจใช้รูปแบบที่ไม่เหมาะสม ทำให้โปรแกรมที่เขียนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และภาษาซีพลัสพลัสนั้นเป็นภาษาที่มีความซับซ้อนมากกว่าภาษาซี จึงทำให้มีโอกาสเกิดบั๊กขณะคอมไพล์มากกว่า

ภาษา C#
(รูปภาพจาก https://thaioop.wordpress.com/  )
ภาษา C# (ซี-ชาร์ป) เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ใช้สาหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์1 ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน และเป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสาหรับผู้ที่เริ่มต้นสนใจที่จะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภาษา C# ถูกพัฒนามาจากภาษา C++ (ซี-พลัสพลัส) และมีโครงสร้างแบบเชิงวัตถุ (object-oriented programming) โดยใช้ Visual Studio (วิชวล-สตูดิโอ) เป็นเครื่องมือสาหรับพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Visual Studio เป็นเครื่องมือที่คอยอานวยความสะดวกในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทาให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ไม่ยากนัก
ภาษา C# ได้รวบรวมข้อดีของภาษาต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ โดยมีข้อดีดังนี้
            1. เป็นภาษาที่เขียนง่าย ไม่ซับซ้อนและเรียบง่าย เพราะคล้ายภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ ทาให้หลายคนเข้าใจได้ไม่ยาก
            2. เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาสาหรับการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภายใต้แนวคิด .NET Framework ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน
            3. เป็นภาษาที่ถูกออกแบบมาให้ทางานบน .NET Framework (ดอตเน็ต-เฟรมเวิร์ก) โดย .NET Framework เป็นรูปแบบในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ ซึ่งบริษัทไมโครซอพท์เป็นผู้พัฒนา ซึ่งคุณสมบัติที่สาคัญของ .NET Framework ก็คือ ผู้ใช้งานสามารถใช้งานบนระบบฮาร์ดแวร์ (Hardware) หรือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่แตกต่างกันได้อย่างไม่มีปัญหา เช่น เครื่องพีซีกับเครื่องแมคหรือ ระบบปฏิบัติการวินโดว์กับระบบปฏิบัติการแมคอินทอช เป็นต้น ดังนั้น ผู้เขียนโปรแกรมจึงสามารถเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ ได้โดยง่าย รวดเร็ว และไม่ต้องติดข้อจากัดต่างๆ อย่างเช่นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในสมัยก่อนอีกต่อไป
          

 4. เป็นภาษาที่แข็งแกร่ง เพราะเป็นภาษาที่ได้มีการแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างของภาษา Java ภาษา C และ ภาษา C++ เหล่านั้น ทาให้ ภาษา C# เป็นภาษาที่มีความสมบูรณ์ตามแบบฉบับของโครงสร้างแบบเชิงวัตถุ(object-oriented programming)


ภาษา Java
(รูปภาพจาก hhttp://www.itgenius.co.th  )
Java เป็นภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการเขียนคำสั่งสั่งงานคอมพิวเตอร์ ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ จำกัด (Sun Microsystems Inc.) ในปี ค.ศ. 1991 เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ โดยมีเป้าหมายการทำงานเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพ ใช้เวลาน้อย รวดเร็วในการพัฒนาโปรแกรม และสามารถเชื่อมต่อไปยังแพล็ตฟอร์ม (Platform) อื่นๆได้ง่าย  Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งที่มีลักษณะสนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) ที่ชัดเจน โปรแกรมต่าง ๆ ถูกสร้างภายในคลาส (Class) โปรแกรมเหล่านั้นเรียกว่า Method หรือ Behavior โดยปกติจะเรียกแต่ละ Class ว่า Object โดยแต่ละ Object มีพฤติกรรมมากมาย โปรแกรมที่สมบูรณ์จะเกิดจากหลาย object หรือหลาย Class มารวมกัน โดยแต่ละ Class จะมี Method หรือ Behavior แตกต่างกันไป


ตัวอย่างการเขียนภาษา Java
การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java ประกอบด้วยขั้นตอนการทำงานทั้งหมด 3 ขั้นตอน ดังนี้



          ขั้นตอนที่ 1 สร้างโปรแกรมซอร์สโค้ด โดยการพิมพ์คำสั่งต่างๆ ตามหลักการเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Java โดยใช้เอดิเตอร์ (Editor) หรือโปรแกรมที่สามารถพิมพ์ข้อความ (Text Editor) และสามารถบันทึกไฟล์เป็นรหัสแอสกี (ASCII) ได้ เช่น โปรแกรม Notepad หรือ โปรแกรม Editplus เป็นต้น หลังจากเขียนโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องทำการบันทึกข้อมูลเป็นไฟล์ที่มีชื่อเดียวกันกับชื่อคลาสของ Java และใช้นามสกุลไฟล์เป็น java ตัวอย่างเช่น TestJava.java

        ขั้นตอนที่ 2 คอมไพล์โปรแกรมซอร์สโค้ด โดยการใช้คำสั่ง javac.exe ที่มากับการติดตั้ง JDK แล้ว มีรูปแบบคำสั่ง คือ javac  FileName.java เมื่อ FileName.java คือ ชื่อไฟล์ใดๆ ที่มีนามสกุล java  ถ้าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ผลลัพธ์ที่ได้จากการคอมไพล์ จะได้ไฟล์ไบต์โค้ดที่ชื่อเดียวกับชื่อคลาส ตัวอย่างเช่น  javac  TestJava.java หลังจากการคอมไพล์จะได้ไฟล์ TestJava.class ข้อสำคัญในการคอมไพล์ไฟล์ซอร์สโค้ด คือต้องพิมพ์ชื่อไฟล์พร้อมนามสกุลเป็น java เสมอ และต้องพิมพ์ชื่อไฟล์ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่หรืตัวเล็กให้ถูกต้องตามการตั้งชื่อคลาส 



          ขั้นตอนที่ 3 ทำการรันโปรแกรม เพื่อดูผลลัพธ์ทางจอภาพโดยการรันไฟล์ไบต์โค้ด โดยการใช้คำสั่ง javac.exe ที่มากับการติดตั้ง JDK แล้วซึ่งมีรูปแบบคำสั่งคือ java  FileName เมื่อ FileName คือ ชื่อไฟล์ใดๆ ไม่ต้องมีนามสกุล

          ดังนั้นการรันโปรแกรมเพียงแค่พิมพ์ชื่อไฟล์ไม่ต้องพิมพ์นามสกุลของไฟล์ และต้องพิมพ์ชื่อไฟล์ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่หรืตัวเล็กให้ถูกต้องตามชื่อคลาส  ตัวอย่างเช่น  java  TestJava  เมื่อ TestJava  คือชื่อไฟล์ TeatJava.class